
ไม่เพียงแต่เด็กๆ ที่ชอบเล่นเกมส์เท่านั้นที่ชอบอยู่หน้าจอคอมพิวเตอรืเป็นเวลานาน แต่ว่าผู้ใหญ่หลายคนก็มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่หน้าจอในระยะเวลาที่ไม่สามารถบอกได้ว่ากี่ชั่วโมงเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น พนักงานออฟฟิศ หรือว่าเจ้าหน้าที่ที่จะต้องอยู่กับคอมพิวเตอร์เพื่อนั่งทำงานนั่นเอง ซึ่งการนั่งหน้าจอเป็นเวลานานนั้นทำให้หลายคนจะต้องเจอกับอาการปวดหลัง หนำซ้ำยังต้องเจอกับความเสี่ยงเกี่ยวกับสายตาด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณยังไม่อยากให้อาการเจ็บปวดเหล่านั้นเป็นอาการเรื้อรังแล้วล่ะก็มาดูวิธีการที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กันเลยดีกว่า
วิธีการดูแลตัวเองจากการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
1. อย่างแรกท่านั่งจะต้องไม่เป็นท่าที่ทำให้หลังค่อม โดยปรับระดับเก้าอี้ให้หลังของคุณสามารถพิงกับพำนักพิงได้อย่างพอดี แล้วนั่งหลังตรง ส่วนเท้าควรอยู่ในระดับที่สามารถวางฝ่าเท้าได้เต็มเท้าพอดีกับพื้น สำหรับสายตานั้นควรอยู่ในระดับที่ตรงกับหน้าจอพอดี และแป้นพิมพ์ควรถูกวางไว้ในตำแหน่งที่แขนตั้งฉากกับระดับพื้น เพื่อให้คุณสามารถพิมพ์ได้สะดวก และจับเม้าส์ได้ง่ายนั่นเอง
2. ไม่ควรนั่งอยู่เฉยๆ เป็นเวลานาน คุณควรจะหาเวลาว่างซัก 5 – 10 นาที ต่อ 1 ชั่วโมง ออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกห้องทำงานหรือว่าอาจจะออกไปที่ห้องครัวเพื่อชงอะไรอุ่นๆ มาดื่มก็ได้ อย่างน้อยคุณก็ไม่ต้องนั่งหน้าจอจนหลังขดหลังแข็งกันไปซะก่อน หรือถ้าหากว่าไม่อยากลุกไปไหนนั้นก็ควรจะยืดแขนขาด้วยการบิดขี้เกียจไปมา หรือลุกขึ้นมาบิกซ้ายขวาอยู่กับที่ก็ได้ เพราะการที่คุณนั่งเป็นเวลานานโดยที่ไม่ขยับเขยือนไปไหนนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการชา และเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ดี
3. ความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ควรสว่างมากจนเกินไป มีหลายคนที่ชอบใช้หน้าจอแบบสว่างๆ หรือแม้กระทั่งหน้าจอโทรศัพท์เองก็เช่นเดียวกัน โดยความว่างของหน้าจอนั้นควรจะปรับไปตามสภาพแวดล้อมของห้องทำงาน ถ้าหากว่าภายในห้องมีแสงสว่างจ้าก็ไม่ควรลดแสงของหน้าจอให้มืดเกินไปเพราะยิ่งจะทำให้คุณต้องขยับเข้าใกล้หน้าจอในระดับที่ใกล้จนเกินไป ทางที่ดีควรปรับแสงให้พอดี ดีกว่าที่จะปรับให้สว่างหรือมืดเกินไป
4. ทิ้งระยะเวลาจากการใช้สายตาหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยการมองออกจากหน้าต่างออกไป โดยเฉพาะการมองต้นไม้ที่มีใบสีเขียวนั้นจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น และรู้สึกดีต่อสายตาของคุณมากขึ้น เพราะการที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานานนั้นจะทำให้กล้ามเนื้อสายตาของคุณเมื้อยล้า หรืออาจจะทำให้ปวดบริเวณรอบดวงตาได้ เพราะการเพ่งล็งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีแสงสว่างนั้นทำให้ดวงตาของคุณจะต้องทำงานหนักมากกว่าการใช้สายตาแบบปกติ
5. ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ใช่คนสายตาสั้นก็สามารถใช้แว่นตาได้เช่นเดียวกัน แต่แว่นตาที่คุณใช้นั้นจะเป็นแว่นตากรองแสงที่หาซื้อได้จากร้านขายแว่นตาทั่วไปได้เลย มันอาจจะดูเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญมากเท่าไหร่นัก แต่ว่าแว่นตากรองแสงนี่แหละ จะทำให้แสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ผ่านเข้ามายังดวงตาของคุณน้อยลง ราคาของเจ้าแว่นตากรองแสงนี่ก็ไม่ได้แพงอะไรนัก เพียงแค่คุณควักเงินในกระเป๋าไม่กี่บาทออกมาจ่ายค่าแว่นตาเพื่อป้องกันดวงตาจากแสงสว่างของหน้าจอในระยะยาวจะเป็นอะไรไป
6. กระพริบตาให้ถี่ขึ้น เพราะแสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จะทำให้ดวงตาของคุณแห้งได้ง่าย ลองสังเกตได้จากการที่คุณอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือว่าหน้าจอโทรศัพท์เป็นเวลานาน คุณจะรู้สึกปวดบริเวณรอบดวงตา และเกิดอาการตาแห้งนั่นเอง แล้วการกระพริบตาถี่ขึ้นนี่แหละจะทำให้น้ำตามาหล่อเลี้ยงดวงตาของคุณมากขึ้น ซึ่งมนัเป็นการช่วยลดความแห้งของดวงตาได้นั่นเอง
8. พักผ่อนทั้งร่างกาย และสายตาของคุณด้วยการงีบหลับซักพัก อย่าพึ่งมองว่ามันเป็นการอู้งาน เพราะคุณสามารถงีบ หรือว่าหลับในระยะสั้นได้ในช่วงของการพักกลางวันได้ อย่างน้อยคุณก็จะได้ทำให้ร่างกายได้พักเพื่อชาร์จแบตเตอร์รี่ให้กับตัวเองบ้าง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ นอกจากนี้มันก็ยังช่วยให้คุณสามารถคิดสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ได้ง่ายมากกว่าคนที่ไม่งีบเลยด้วยล่ะ แล้วเวลาที่เหมาะสมสำหรับการงีบนั่นก็คือ 15 – 30 นาที นั่นเอง เพราะถ้ามากกว่านั้นอาจทำให้คุณหลับ และหมดเวลาพักกลางวันไปซะก่อน
9. ไม่ควรทำงานอยู่ในห้องที่มีความสว่างไม่เพียงพอ หรือห้องที่มืดนั่นเอง มีหลายคนที่ชอบใช้คอมพิวเตอร์ในห้องมืดโดยที่ไม่เปิดไฟเลยซักดวง อีกทั้งยังใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานอีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นความเสี่ยงที่อาจจะทำให้คุณสายตาสั้นได้ ส่วนสีของแสงนั้นควรจะเป็นสีขาวมากกว่าสีส้ม ซึ่งสีที่เราใช้ในการอ่านหนังสือหรือในห้องทำงานนั่นก็คือแบบ Day light ที่เป็นแสงสีขาวนั่นเอง ส่วน Warm light เป็นแสงสีส้ม ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้สายตาเลย
เห็นไหมล่ะว่าถึงแม้เราจะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เราก็ควรมีวิธีการลดความเสี่ยงที่อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย และดวงตาของคุณด้วยเช่นกัน มีหลายคนที่ละเลยความปลอดภัยของตัวเองจากการใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจนเกิดเป็นอาการเจ็บป่วย เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่อยากทรมานกับอาการเหล่านั้นล่ะก็ควรจะใส่ใจตัวเองด้วยการใช้วิธีดูแลตัวเองดีๆ ข้างบนได้